หลาย ๆ คนคงรู้ว่าโรคอ้วนทำให้มีปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย ไหนจะโรคร่วมต่าง ๆ เช่น ความดันสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ตื่นมาแล้วก็เหมือนไม่ได้นอน ง่วงก็ง่วง ใช้ชีวิตก็ลำบาก การผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน คือหนึ่งในวิธีการผ่าตัด สำหรับคนที่มีเป็นโรคอ้วน ที่มีประสิทธิภาพ
เป็นวิธีการรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนที่เป็นมาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับทั่วโลกและได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักลงได้จริง แต่ต้องได้รับการดูแลผ่าตัดรักษาจากศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยตรง
การผ่าตัดโรคอ้วน นอกจากจะทำให้น้ำหนักลงแล้ว ยังสามารถทำให้โรคประจำตัวต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง นอนกรน ปวดเข่า เก๊าท์ หายไปได้ถึง 50% ใน 1 ปี และมีงานวิจัยรองรับว่าการผ่าตัดจะช่วยให้ผู้ป่วยโรคอ้วน มีชีวิตยืนยาวมากขึ้นถึง 9 ปี ในผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวานเป็นโรคร่วม
ดังนั้น สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาภาวะน้ำหนักเกิน พยายามควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก ทานยาแล้วแต่ยังไม่ได้ผล และปรารถนาที่อยากจะลดน้ำหนักให้สำเร็จ การผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างปลอดภัย
การผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วนเพื่อลดน้ำหนักมีกี่วิธี
การผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน หรือการรักษาเพื่อลดน้ำหนักนั้น จริง ๆ แล้วมีอยู่ด้วยกันหลายแบบ โดยจากในอดีตจนถึงปัจจุบัน สามารถแบ่งได้หลัก ๆ ออกเป็น 3 วิธีด้วยกัน ดังต่อไปนี้
- การรัดห่วงเพื่อลดขนาดกระเพาะอาหาร เป็นวิธีการรักษาเพื่อการลดน้ำหนักในอดีต ซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้ว เนื่องจากไม่ค่อยได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนในการรักษาได้สูง
- การผ่าตัดกระเพาะร่วมกับการทำบายพาสลำไส้เล็กส่วนต้น หรือ Roux en Y gastric bypass วิธีนี้แม้จะลดความจุกระเพาะและลดโรคร่วมได้มากกว่า แต่จะทำให้ประสิทธิภาพในการดูดซึมอาหารบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้นลดลง ซึ่งโดยปกติแล้วลำไส้เล็กส่วนต้นจะมีหน้าที่ในการดูดซึมสารอาหารและวิตามินในปริมาณมาก ดังนั้น เมื่อมีการผ่าตัดบายพาสลำไส้เล็กส่วนต้น จึงมีข้อเสียคือ ทำให้หลังผ่าตัดผู้ป่วยเกิดภาวะขาดสารอาหารได้ง่าย ต้องได้รับการรับประทานวิตามินและเกลือแร่เสริมเพิ่มเติมไปตลอดชีวิต ซึ่งก็ต้องมีการตรวจติดตามใกล้ชิดไปตลอดชีวิตเช่นกัน ทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมในประเทศไทยและแถบเอเชีย
- การผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วนแบบสลีฟ Laparoscopic Sleeve Gastrectomy เป็นวิธีการผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วนเพื่อลดน้ำหนักที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน สามารถลดน้ำหนักส่วนเกินได้ถึง 50% ใน 1 ปี เพราะช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริง มีภาวะแทรกซ้อนค่อนข้างน้อย เป็นการผ่าตัดที่ทำให้ขนาดของกระเพาะอาหารลดลง จากปกติความจุจะอยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 CC จะได้รับการผ่าตัดให้เหลือ 100-200 CC
ซึ่งเมื่อกระเพาะอาหารมีขนาดเล็กลงทำให้รับประทานได้น้อยลง ความหิว และความอยากอาหารก็จะลดลงตามไปด้วย เนื่องจากกระเพาะจะผลิตฮอร์โมต่างๆได้ลดลง ทำให้สามารถควบคุมพฤติกรรมและลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง
การผ่าตัดส่องกล้องกระเพาะโรคอ้วน แบบสลีฟ ซึ่งเป็นการผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วนที่มีความปลอดภัยและมีภาวะแทรกซ้อนต่ำนั้น มีขั้นตอนในการรักษาแบ่งออกเป็นหลัก ๆ 3 ช่วงด้วยกัน ดังต่อไปนี้
- ช่วงก่อนผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน แพทย์จะต้องตรวจส่องกล้องกระเพาะอาหารและหลอดอาหารดูก่อนว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เช่น มีการอักเสบ มีการติดเชื้อ หรือมีแผลที่กระเพาะอาหารหรือไม่ ซึ่งหากตรวจแล้วพบว่ามีอาการผิดปกติ อาจจะมีความจำเป็นที่จะให้ยารักษาอาการดังกล่าวก่อน เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้
นอกจากนั้นแล้ว ในขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยจำกัดปริมาณอาหาร และลดน้ำหนักลงประมาณ 5-10% เพราะมีส่วนช่วยให้ไขมันพอกตับมีปริมาณเล็กลง เพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการผ่าตัด พร้อมทั้งเป็นการเตรียมตัว เตรียมใจในการปรับพฤติกรรมต่อไปหลังจากการผ่าตัดครับ
ในผู้ป่วยรายที่สูบบุหรี่ แพทย์ก็จะแนะนำให้งดการสูบบุหรี่ก่อนการผ่าตัดด้วย หรือเลิกเลยก็จะยิ่งดี เพราะการสูบบุหรี่จะเพิ่มความเสี่ยง ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น กระเพาะอาหารรั่วได้ครับ
- ขั้นตอนการผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน แพทย์จะทำการผ่าตัดส่องกล้องเพื่อเข้าไปตัดกระเพาะของผู้ป่วยให้มีขนาดเล็กลง จากปกติประมาณ 1,500-2,000 CC ให้เหลือประมาณ 100-200 CC โดยจะใช้ระยะเวลาในการผ่าตัดประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- หลังผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน ผู้ป่วยสามารถลุกเดินได้เลย เนื่องจากการผ่าตัดส่องกล้องนั้นทำให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก อาการเจ็บจึงน้อย ทั้งนี้ในช่วงวันแรกหลังจากผ่าตัด ผู้ป่วยจะสามารถจิบน้ำได้ แล้วแพทย์จะค่อย ๆ เพิ่มระดับอาหารเป็นนมทางการแพทย์ก่อนประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจึงสามารถรับประทานอาหารอ่อนได้ และจะกลับมารับประทานอาหารปกติหลังจากผ่าตัดได้ประมาณ 1 เดือน
หลังการผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน ต้องพักฟื้นนานแค่ไหนจึงกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ
เนื่องจาก การผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน ด้วยวิธีการผ่าตัดส่องกล้องแบบสลีฟ เป็นการผ่าตัดแผลเล็ก มีอาการเจ็บน้อย ในความเป็นจริงผู้ป่วยก็สามารถลุกเดินและใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังผ่าตัด แต่ทั้งนี้ แพทย์จะแนะนำให้หยุดพักฟื้นร่างกายประมาณ 2 สัปดาห์ ก่อนกลับไปทำงาน โดยจะสามารถเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ เช่น วิ่งเหยาะ ๆ หรือเดินขึ้นบันไดได้หลังการผ่าตัดประมาณ 2 สัปดาห์ แต่หากเป็นการออกกำลังกายหนัก ๆ เช่น เล่นกีฬา ว่ายน้ำ ตีแบด เล่นเวท นั้น แพทย์แนะนำให้งดเว้นไปก่อน โดยจะกลับมาออกกำลังกายได้ตามปกติแบบหนักคือหลังจากผ่าตัดไปแล้วประมาณ 4-6 สัปดาห์
การผ่าตัดกระเพาะโรคอ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิธีการผ่าตัดส่องกล้องแบบสลีฟนั้น ถือเป็นการรักษาภาวะโรคอ้วน ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยทำให้ผู้ป่วยลดน้ำหนักได้จริง จนกลับมามีรูปร่างที่สมส่วน มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงได้อีกครั้ง แต่ทั้งนี้ ก็หลังจากผ่าตัดแล้วก็จำเป็นจะต้องอาศัยการปรับพฤติกรรมเรื่องการรับประทานอาหารควบคู่ไปด้วยจึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังจำเป็นจะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องกระเพาะโรคอ้วนโดยตรง เพื่อให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และผ่าตัดรักษาได้อย่างปลอดภัยมากที่สุด